วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

7 เทคนิกเริ่มต้นแก้ปัญหาสิว...ของผิวทุกวัย



  1. การหาสาเหตุ/ต้นตอของการเกิดสิว แล้วพยายามเลี่ยงสาเหตุนั้นๆ ลองสังเกตปัญหาสิวว่ามักเป็นสิวเมื่อไหร่ เช่น
  • การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (ที่จะต้องมาสัมผัสใบหน้า) เช่นเปลี่ยนยาสีฟัน (เป็นสิวช่วงล่างของริมฝีปาก)
  • เปลี่ยนน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม (เป็นสิวด้านใดด้านหนึ่งจากการนอน)
  • เป็นสิวช่วงก่อนหรือหลังการมีรอบเดือน (มักเป็นบริเวณช่วงคาง)
  • ทานอาหารบางประเภทแล้วเป็นสิว เช่น ช็อคโกแลต (อาจไม่เสมอไปกับทุกคน บางคนอาจเป็นสิวจากการทานอาหารบางประเภท แต่บางคนไม่มีผลใดๆ)
  • สิวหลังการแต่งหน้า (อีกสาเหตุของคนที่เป็นสิวในวัยทำงาน)
  1. ให้ความสำคัญกับขั้นตอนทำความสะอาด เช่น
  • หากแต่งหน้า จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางด้วยทุกครั้งก่อนการล้างทำความสะอาดใบหน้า เพื่อการทำความสะอาดอย่างหมดจด
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ดีควรมีค่า pH เท่าหรือใกล้เคียงกับผิวหน้าคือ 4.5-6.5
  • ล้างหน้าวันละไม่เกิน 2 ครั้ง เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น
  • หากมีผิวมันควรสครับเพื่อขัดเซลล์ผิวที่ทับถม ช่วยลดปัญหาผิวอุดตันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
  1. ทำความเข้าใจกับปัญหาสิว ปกติภายใต้ผิวของเราจะมีต่อมไขมันทำหน้าที่ผลิตน้ำมันเพื่อเคลือบและให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่หากต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป น้ำมันที่ทำหน้าที่คล้ายกาวก็จะยึดติดเซลล์ผิวด้านบนไว้ ทำให้ไม่มีการผลัดเซลล์ผิวที่มักจะเกิดขึ้นทุก 28 วัน ผิวจึงเกิดปัญหาการอุดตัน สิวจึงมักพบในคนที่มีผิวมัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาสิว เช่น
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่ช่วยดูดซับหรือควบคุมความมันของผิว
  • สารที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุสำคัญของสิวอักเสบ
  • และควรมีสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำให้ผิวบาง เพื่อลดการอุดตันของผิว
  • อาจมีสารที่มีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ช่วยลดรอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิว
  1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเป็นสูตรที่ไม่ทำให้ผิวอุดตัน (non-comedogenic) เช่นผลิตภัณฑ์กันแดด หลายคนเชื่อว่าการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดจะทำให้ผิวอุดตัน จึงเลี่ยงไม่ใช้ครีมกันแดดซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง  หากเราเลือกใช้ผลิตภํณฑ์กันแดดที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้ผิวอุดตัน เป็นสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน จะเป็นทางเลือกที่ดีและถูกต้องที่สุด
  2. ปรับพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดสิว เช่น
  • การนอนดึก การนอนโดยไม่ล้างเครื่องสำอาง
  • ความเครียด อีกสาเหตุของการเกิดสิวของใครหลายคน
  • การแคะ แกะ กด การไปรบกวนสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวเกิดอาการรุนแรง เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาเช่น รอยหรือหลุมสิว
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะสิ่งสกปรกบนมือเราอาจไปกระตุ้นให้มีการเกิดสิว หรือเกิดการกำเริบของสิวได้
  1. ดื่มน้ำและทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  2. ให้เวลากับการดูแลปัญหาสิว สิวเป็นปัญหากวนทั้งก่อนเกิดสิว (เจ็บบริเวณที่จะเป็นสิว) และยังทิ้งร่องรอยกวนใจ รวมถึงปัญหาอื่นๆ ทั้งความมันเงาบนใบหน้า รูขุมขนกว้าง ถ้ายิ่งเร่งรีบในการรักษา เช่นไปเลือกใช้ยาสเตรียรอยด์เพื่อการเห็นผลที่ดีกว่าในระยะสั้น แต่อาจต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหนากว่าเดิมในระยะยาว เราต้องให้เวลาทั้งหาสาเหตุ ทำความเข้าใจ และแก้ไขดูแลไปพร้อมๆ กัน

วิธีแก้ขอบตาดํา

  1. หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การรักษาผิวใต้ตาหมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสดังเดิม ก็ควรเริ่มจากหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากรอยคล้ำใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ และแต่ละสาเหตุจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุรอยคล้ำใต้ตาก่อน เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น หากขอบตาดำเป็นเพราะการขยี้ตาบ่อย ๆ ก็ให้เลิกขยี้ตา หรือเป็นเพราะแพ้เครื่องสำอาง ก็ให้ทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนการใช้ หรือถ้าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย อดหลับอดนอน ก็พักผ่อนนอนหลับให้มาก ๆ ฯลฯ
  2. ดูแลตัวเอง โดยเริ่มจากการลดบริโภคอาหารไม่มีประโยชน์ แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ดื่มน้ำมะเขือเทศที่ผสมกับน้ำมะนาวและเกลือ (อาจใส่ใบมิ้นต์ลงไปด้วยเล็กน้อย) เน้นเพิ่มอาหารที่มีวิตามินซีในทุกมื้ออาหาร หรือนำแคร์รอตไปวางไว้ในน้ำร้อนสักพัก แล้วดื่มน้ำนั้นก่อนอาหาร 3 ครั้งต่อวันก็ได้ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหารอบตาดำคล้ำได้, รวมไปถึงการดื่มน้ำให้มาก ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น, หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ, เลิกสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่มีอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย และทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา, หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะผิวใต้ตาจะอ่อนบางกว่าบริเวณอื่น ๆ หากถูกแสงแดดมาก ๆ ผิวส่วนนั้นก็จะบางลงจนมองเห็นเส้นเลือดดำใต้ผิวได้, หาวิธีกำจัดความเครียดพร้อมทั้งนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วงเวลาที่เราหลับกลางคืนจะเป็นช่วงเวลาแห่งการซ่อมแซมร่างกาย ดวงตาเองก็จะได้รับการซ่อมแซมเช่นกัน โดยคุณควรนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงทุกคืนจะดีที่สุด อ้อ..เพิ่มเติมอีกนิด การหนุนหมอนมีคำแนะนำว่าให้คุณหนุนหมอนในขนาดพอเหมาะที่สามารถยกให้ศีรษะสูงขึ้นเหนือระดับของหัวใจเล็กน้อย และให้นอนในท่าหงาย เพื่อช่วยป้องกันของเหลวที่ไหลมารวมกันอยู่บริเวณศีรษะ
  3. รอยคล้ำจางหายด้วยนิ้วมือ เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการช่วยขจัดปัญหารอยคล้ำรอบดวงตาที่มีสาเหตุมาจากการที่เลือดไหลเวียนไม่ดี วิธีนี้ให้คุณใช้นิ้วชี้กดเบา ๆ ที่ใต้ตาด้านล่างช้า ๆ จากซ้ายไปขวา โดยให้ทำซ้ำไปมาประมาณ 10 ครั้ง และควรทำหลังจากตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยไล่ความคล้ำที่เกาะอยู่รอบดวงตาให้จางหายไปได้ ส่วนอีกวิธีให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น นำมาประคบบนเปลือกตาประมาณ 5 นาที แล้วให้ล้างด้วยน้ำเย็นจัด จากนั้นให้หลับตาลงพร้อมกับใช้นิ้วกลางกดที่หางคิ้วทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วโป้งกดเบ้าตาช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง ต่อมาให้ใช้นิ้วกลางกดที่สันจมูก ช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง
  4. สูตรบำรุงรอบตาให้สวยได้ในข้ามคืน วิธีแรกให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สด ๆ นำมาทาใต้ตา แล้วนวดเป็นวงกลม ทิ้งไว้แบบนั้นแล้วเข้านอน จะช่วยแก้ปัญหารอบตาคล้ำได้ หรืออีกวิธีให้ใช้น้ำสะระแหน่นำมาทารอบดวงตาก่อนเข้านอน ซึ่งจะช่วยทำให้รอบดวงตาที่ดำคล้ำค่อย ๆ จางหายไป ส่วนวิธีสุดท้ายให้ใช้ผงจันทน์เทศนำมาผสมกับนมสด แล้วนำมาทาใต้ตาพอกทิ้งไว้ข้ามคืน พอตื่นเช้ามาก็จะพบกับรอบดวงตาอันสดใสและไม่ดำคล้ำ
  5. ทรีตเมนต์เบา ๆ แต่ได้ผล มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน วิธีแรกให้คุณนำสำลีกลม ๆ จุ่มลงในน้ำเย็นหรือน้ำกุหลาบ วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก, ส่วนวิธีที่สองให้คุณใช้เกลือ 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือสำลีชุบน้ำเกลือและบีบน้ำออกเล็กน้อย แล้วนำมาปิดเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที, วิธีที่สามให้นำช้อนที่แช่เย็นจัดมาวางไว้บนเปลือกตาสักพัก เพื่อช่วยคลายอาการรอบดวงตาที่ดำคล้ำ, วิธีที่สามให้ใช้ช้อนเหล็กปาดวาสลีนออกมาแล้วนำไปแช่แข็งให้เย็นจัด แล้วจึงนำวาสลีนนั้นมาทารอบดวงตา ส่วนอีกวิธีให้นำผักชีฝรั่งไปวางไว้บนถาดทำน้ำแข็งที่มากับตู้เย็น พร้อมกับเติมน้ำลงไปเพื่อทำเป็นน้ำแข็งก้อน แล้วนำก้อนน้ำแข็งที่มีผักชีฝรั่งอยู่ในน้ำแข็งนั้นมาลูบ ๆ วน ๆ รอบดวงตาที่ดำคล้ำ สารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในผักชีฝรั่งจะช่วยขจัดรอยคล้ำใต้ตาได้ รวมทั้งน้ำแข็งยังช่วยลดอาการตาบวมได้อีกด้วย
  6. สูตรมะขามเปียก+นม+น้ำผึ้ง สูตรแรกให้คุณใช้มะขามเปียก 1 กำมือ เอารากออกแล้วล้างน้ำให้สะอาด นำมาผสมกับนมสด 2 ช้อนโต๊ะ ขยำให้เข้ากัน ถ้าข้นมากให้เติมน้ำลงไปหน่อย จากนั้นให้นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำครีมมะขามที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและหางตาให้ทานานหน่อย ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที จึงล้างออก ซึ่งกรด AHA ในมะขามและกรดแลคติกในนมจะช่วยทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  7. สูตรมาส์กตา 20 นาที มีอยู่มากมายหลายสูตร เช่น การนำแตงกวาและน้ำที่สกัดจากมันฝรั่งมาผสมกัน จากนั้นใช้สำลีชุบส่วนผสมมาวางทิ้งไว้บนเปลือกตา แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น, ฝานมันฝรั่งหรือแตงกวาให้เป็นแผ่นนำมาวางไว้บนเปลือกตา, ฝานลูกแพร์บาง ๆ แล้วนำมาวางใต้ดวงตา (ให้ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในลูกแพร์จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้อย่างน่าอัศจรรย์, นำเปลือกกล้วยบดมาพอกบริเวณใต้ตาที่ดำคล้ำ, นำมะเขือเทศมาฝานเป็นแผ่นแล้วแบ่งครึ่ง ผสมกับน้ำมะนาว ใช้พอกใต้ตาที่มีปัญหาดำคล้ำ, ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำแร่อุ่น ๆ ในปริมาณเท่ากัน แล้วใช้สำลีชุบให้พอชุ่ม แล้วนำมาวางรอบดวงตา (ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง), นำผงขมิ้นและน้ำสับปะรดมาผสมกันแล้วนำมาพอกใต้ตา, ใช้สำลีชุบน้ำแตงกวาผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาวางไว้บนเปลือกตา, นำสำลีก้อนกลม ๆ ไปจุ่มกับนมสดแช่เย็น แล้วนำมาวางรอบดวงตาเพื่อช่วยทำให้รอยคล้ำจางไป โดยสูตรเหล่านี้ให้วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออก
  8. สูตรถุงชาแก้ปัญหาตาดำคล้ำ มีหลายสูตรย่อยด้วยกัน วิธีแรกให้คุณใช้ถุงชาฝรั่งที่ชงแล้วและยังอุ่น ๆ หมาด ๆ อยู่เล็กน้อย นำมาวางทับไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงค่อยนำถุงชาออก วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาแพ้ง่ายหรือบวมง่าย หรืออีกวิธีให้ใช้ถุงชาที่แช่เย็นมาวางไว้บนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที (ลองเลือกดูนะว่าแบบอุ่นหรือแบบเย็นจะเหมาะกับคุณมากกว่า) ส่วนอีกวิธีให้ใช้ถุงชาคาโมมายล์นำมาจุ่มลงไปในน้ำร้อน แล้วล้างด้วยน้ำเย็น จากนั้นก็ให้นำมาวางไว้บนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วรอยหมองคล้ำต่าง ๆ ใต้ตาจะค่อย ๆ หายไปเอง
  9. สูตรน้ำมันขจัดปัญหารอบดวงตาคล้ำ คุณสามารถนวดไล่ความคล้ำที่มาเกาะรอบดวงตาได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำมันละหุ่ง น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันอโวคาโด น้ำมันจากแคปซูลวิตามินอี น้ำมันจากแคปซูลวิตามินเค น้ำผึ้ง หรือกลีเซอรีน (ใครที่ตื่นมาแล้วมักตาบวมฉึ่ง ก็แนะนำให้นวดด้วยน้ำมันอัลมอนด์หรือน้ำมันละหุ่ง) นำมานวดรอบ ๆ ดวงตาทิ้งไว้ข้ามคืน ซึ่งน้ำมันเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้รอบตาที่ดำคล้ำหายไปแล้ว ยังถือเป็นการทำสปาแบบผ่อนคลายไปได้ในตัวอีกด้วย
  10. สูตรแผ่นเจล ให้คุณใช้แผ่นเจลที่มีขายสำเร็จรูปเป็นรูปครอบดวงตา โดยเอาไปแช่แข็งให้เย็นแล้วนำมาปิดรอบดวงตาเว้นตรงบริเวณดวงตาเอาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที สูตรนี้จะช่วยคลายเครียดกล้ามเนื้อดวงตา ถนอมดวงตาและถนอมหลอดเลือดรอบตา จึงช่วยลดอาการคล้ำจากหลอดเลือดขยายไว้ได้
  11. ใช้ครีมทารอบดวงตาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ถ้าคุณไม่ใจร้อนและอยากรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป ก็ให้ใช้ยาทาใต้ตาหรือครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น มีส่วนผสมของวิตามินซี, เรตินอล, กรดโคจิก, ลิโคไลซ์, อาร์บูติน, ไฮโดรควิโนน หรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้รอยดำคล้ำใต้ตาจางลงได้ภายใน 3-4 สัปดาห์การฉีดฟิลเลอร์ ถ้ารอยคล้ำใต้ตานั้นเกิดมาจากเงา เนื่องจากมีร่องใต้ตาที่ลึกจนเกินไป แพทย์อาจใช้วิธีการฉีดสารเติมเต็มเพื่อเพิ่มปริมาตร ซึ่งสารที่ใช้ก็มีทั้งไฮยาลูรอนิกและคอลลาเจน วิธีนี้จะช่วยลบร่องใต้ตาที่ดูลึกได้ แต่อย่าลืมว่าต้องเลือกใช้สารที่ปลอดภัยและฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
  12. การรักษาด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การรักษาด้วย IPL หรือแสงเข้มข้น เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดี ไม่มีแผล แต่ต้องทำหลาย ๆ ครั้ง, การใช้เลเซอร์เพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีให้แตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ (ภายหลังจะถูกร่างกายกำจัดไปในที่สุด) มีทั้งแบบมีแผลและไม่มีแผล อย่างเช่น Q-switched Nd: YAG และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้ไอพีแอล, การใช้แสงเลเซอร์ Fractional Laser (แบบกึ่งมีแผล) แบบนี้แผลจะหายเร็ว สามารถช่วยลดทั้งรอยดำและริ้วรอยตื้น ๆ ได้ และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน, การใช้แสงเลเซอร์ในการปรับสภาพผิวแบบเปลี่ยนผิวใหม่ที่เรียกว่า Laser Resurfacing ตัวนี้นอกจากรอยคล้ำใต้ตาจะหายแล้ว ริ้วรอยต่าง ๆ ยังดูดีขึ้นอีกด้วย แต่การใช้วิธีนี้คุณจะต้องเข้าสู่ช่วงเก็บตัวก่อนสวย เพราะจะต้องรักษาแผลให้หายอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการรักษารอยคล้ำใต้ตา เพียงแต่เสียค่าใช้จ่ายสูง และบางวิธีอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน ส่วนจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดไหนนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย
  13. ใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปดปิกรอยคล้ำ โดยให้เลือกใช้คอนซีลเลอร์เนื้อบางเกลี่ยง่ายและมีโทนสีใกล้เคียงกับสีผิวของเรามากที่สุด อย่างสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้มอ่อน ๆ เพื่อที่จะได้แก้สีเทาปนน้ำเงินปนม่วงของเงาใต้ตาได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้กันหลายยี่ห้อเลยล่ะ
  14. การรักษาด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การรักษาด้วย IPL หรือแสงเข้มข้น เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดี ไม่มีแผล แต่ต้องทำหลาย ๆ ครั้ง, การใช้เลเซอร์เพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีให้แตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ (ภายหลังจะถูกร่างกายกำจัดไปในที่สุด) มีทั้งแบบมีแผลและไม่มีแผล อย่างเช่น Q-switched Nd: YAG และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้ไอพีแอล, การใช้แสงเลเซอร์ Fractional Laser (แบบกึ่งมีแผล) แบบนี้แผลจะหายเร็ว สามารถช่วยลดทั้งรอยดำและริ้วรอยตื้น ๆ ได้ และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน, การใช้แสงเลเซอร์ในการปรับสภาพผิวแบบเปลี่ยนผิวใหม่ที่เรียกว่า Laser Resurfacing ตัวนี้นอกจากรอยคล้ำใต้ตาจะหายแล้ว ริ้วรอยต่าง ๆ ยังดูดีขึ้นอีกด้วย แต่การใช้วิธีนี้คุณจะต้องเข้าสู่ช่วงเก็บตัวก่อนสวย เพราะจะต้องรักษาแผลให้หายอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการรักษารอยคล้ำใต้ตา เพียงแต่เสียค่าใช้จ่ายสูง และบางวิธีอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน ส่วนจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดไหนนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย
  15. ใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปดปิกรอยคล้ำ โดยให้เลือกใช้คอนซีลเลอร์เนื้อบางเกลี่ยง่ายและมีโทนสีใกล้เคียงกับสีผิวของเรามากที่สุด อย่างสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้มอ่อน ๆ เพื่อที่จะได้แก้สีเทาปนน้ำเงินปนม่วงของเงาใต้ตาได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้กันหลายยี่ห้อเลยล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การย่อยในลำไส้เล็ก


      อาหารจะเคลื่อนจากกระเพาะอาหารผ่านกล้ามเนื้อหูรูดเข้าสู่ลำไส้เล็ก การย่อยอาหารในลำไส้เล็กเกิดจากการทำงานของอวัยวะ 3 ชนิด คือ ตับอ่อน ผนังลำไส้เล็ก และตับ ตับอ่อน ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอไมเลส ย่อยคาร์โบไฮเดรต ให้เป็นกลูโคส ไลเปส ย่อย ขามัน ให้เป็น กรดไขมัน และกลีเซอรอล ทริปซิน ย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน นอกจากนี้ตับอ่อนยังสร้างสารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบส ปล่อยออกมา เพื่อลดความเป็นกรดของอาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อยาวประมาณ 7 เมตร ขดอยู่ในช่องท้อง ลำไส้เล็กแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกว่า ดูโอดีนัม เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากระเพาะอาหาร ยาวประมาณ 0.30 เมตร ลำไส้เล็กส่วนกลาง เรียกว่า เจจูนัม ยาวประมาณ 2.5 เมตร ลำไส้เล็กส่วนท้าย เรียกว่า ไอเลียม ยาวประมาณ 4 เมตร ผนังด้านในของลำไส้เล็กมีลักษณะเป็นปุ่มไม่เรียบ เรียกว่า วิลไล ทำหน้าที่ดูดซึมอาหารวิลไล ประกอบด้วยร่างแหของเส้นเลือดฝอยและท่อน้ำเหลือง โมเลกุลของอาหารที่ย่อยแล้จะแพร่ผ่านเข้าเส้นเลือดฝอยและท่อน้ำเหลืองในวิลไล แล้วนำไปยังระบบหมุนเวียนโลหิตเพื่อเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ตับ ทำหน้าที่สร้างน้ำดีเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี จากถุงน้ำดีมีท่อมาเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็ก ส่วนดูโอดีนัม น้ำดีจะช่วยกระจายไขมันให้แตกตัวออกเป็นเม็ดเล็ก ๆ แล้วเอนไซม์ไลเพส จะทำการย่อยต่อไป จนได้กรดไขมันและ กลีเซอรอล นอกจากนี้ตับยังทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสารบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งเก็บสะสมวิตามินและธาตุเหล็ก การย่อยในลำไส้เล็ก ต้องอาศัยเอนไซม์จากตับอ่อน (pancreas) ซึ่งประกอบด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ ดังนี้ ทริปซิน (trpsin) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนหรือเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน อะไมเลส (amylase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ไลเพส (lipase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยไขมันและกลีเซอรอล อาหารบางชนิดซึ่งไม่ถูกย่อยจะผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่ น้ำส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมในลำไส้ใหญ่ เพื่อให้ร่างกายนำกลับไปใช้ใหม่ ส่วนอาหารที่ย่อยไม่ได้จูกรวบรวมไว้ที่ปลายของลำไส้ใหญ่ ก่อนผ่านเข้าสู่ส่วนที่เรียกว่า ลำไส้ตรง และถ่ายออกทางทวารหนั

การเคี้ยวเอื้อง

Profile



                               ชื่อ : นายศุภโชค  เชี่ยวชาญ
เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1
เกิดวันที่ : 6 มกราคม 2543 
อายุ : 17 ปี
ชื่อเล่น : เจมส์
สีที่ชอบ : ดำ 
กรุ๊ปเลือด : B             
ราศี : มังกร
facebook : supachock chieochan
E-mail : jamesupachock@gmail.com